วันหนึ่ง พระเจ้าหลุยส์ที่14 แห่งฝรั่งเศษได้ทรงทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างพระราชวังของพระองค์และเห็นอาคารหลังหนึ่งที่พระองค์ไม่สังเกตมาก่อน จึงตรัสถามมหาดเล็กว่า ”ตรงนั้นคืออาคารอะไร” มหาดเล็กตอบว่า”คือโบสถ์เซนต์เด็นนิส พระเจ้าข้า เหล่าบรรพบุรุษของพระองค์ทรงถูกฝังไว้ที่นั่น”
เมื่อกษัตริย์ทรงทราบว่า สถานที่แห่งนั้นจะเป็นที่พักผ่อนที่สุดท้ายของพระองค์ พระเจ้าหลุยส์จึงทรงสั่งให้สร้างพระราชวังขึ้นอีกหลังหนึ่งเพื่อบดบังไม่ให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นโบสถ์แห่งนั้นอีกต่อไป
ไม่มีใครอยากคิดถึงความตาย แต่ท่านไม่สามารถหลบลี้หนีหน้ามันได้มากไปกว่าสิ่งที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้กระทำ ในบทเรียนบทที่แล้วท่านได้ศึกษาเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูและพระรัศมีนิรันดร์ที่ท่านจะอยู่กับพระองค์ เครื่องหมายที่ชี้บอกถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ปรากฏอยู่ทั่วไป และท่านรู้สึกว่าเวลาที่พระองค์จะเสด็จกลับมานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ถ้าท่านตายไปก่อนที่พระองค์มาจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน หลายศตวรรษมาแล้วชายคนหนึ่งชื่อโยบก็ได้ตั้งคำถามเดียวกันนี้ เขาถามว่า ”ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ” (โยบ 14:14)
คำตอบสำหรับคำถามของโยบคืออะไร ยอห์น 5:25, 28, 29
...............................................................................................................................................
บรรดาคนชอบธรรมจะฟื้นคืนชีพขึ้นเมื่อไร 1 เธสะโลนิกา 4:15-17
...............................................................................................................................................
พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าคนชอบธรรมจะฟื้นคืนชีพเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา เมื่อนั้นทั้งคนชอบธรรมที่ฟื้นคืนชีพและคนชอบธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในสวรรค์อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น
อะไรจะขึ้นตั้งแต่ตายไปจนถึงวันที่มีการฟื้นคืนชีพ ขณะที่ร่างกายถูกฝังอยู่ในหลุม (หรือถูกเผา) วิญญาณของคนตายไปสวรรค์หรือไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือทั้งวิญญาณและร่างกายยังคงอยู่ในหลุมฝังศพ หรือเป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากคนเราตายไปแล้ว จำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบที่พระเจ้าทรงใช้ในการสร้างมนุษย์ครั้งแรกเสียก่อน
พระธรรมปฐมกาล 2:7 ได้บรรยายการสร้างมนุษย์ไว้อย่างไร
...............................................................................................................................................
พระเจ้าใช้ผงคลีดินและลมปราณในการสร้างมนุษย์คนแรก ท่านสามารถเขียนออกมาเป็นสมการได้ดังนี้
ผงคลีจากพื้นดิน + ลมปราณ (ลมหายใจ) = ผู้มีชีวิตอยู่/วิญญาณจิต
คำว่า “ผู้มีชีวิตอยู่” และ “วิญญาณจิต” มีความหมายเหมือนกันในพระคัมภีร์ อ่านพระธรรมปฐมกาล 2:7 ในพระคัมภีร์ฉบับคิงส์เจมส์ (King James Version) และในฉบับนิวอินเตอร์เนชั่นแนล (New International Version) ท่านจะเห็นว่าคำดังกล่าวแปลได้ทั้งสองความหมาย
นักเคมีได้วิเคราะห์ร่างกายของมนุษย์บอกเราว่า ร่างกายประกอบด้วยออกซิเจน 80% และไฮโดรเจน 10% ส่วนที่เหลือนั้นประกอบด้วยธาตุต่างๆ เช่น คาร์บอน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เป็นต้น ความจริงแล้วร่างกายของเราเกิดจากการรวมตัวของดินและอากาศ แต่เมื่อพวกเขาตายเกิดอะไรขึ้นกับ ”ผู้มีชีวิตอยู่”
▼ร่างกาย
เมื่อคนเราตายเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย (ปัญญาจารย์ 3:19-20 ปฐมกาล 3:19)
...............................................................................................................................................
▼ลมปราณหรือลมหายใจ (จิตวิญญาณ)
เมื่อคนตายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับลมหายใจของพวกเขา เพื่อตอบคำถามนี้ ท่านจำเป็นต้องเข้าใจสักเล็กน้อยเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “ลมหายใจ” ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์มีการใช้สลับกันไปมากับคำว่า “จิตวิญญาณ” เพราะฉะนั้น ท่านสามารถที่จะถามอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อคนตายเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณของพวกเขา (ปัญญาจารย์ 12:7)
...............................................................................................................................................
ตามที่มีการใช้คำว่า “ลมหายใจ” และคำว่า “จิตวิญญาณ” ตั้งแต่แรกเริ่มในพระคัมภีร์ ท่านสามารถอ่านข้อความนี้ได้ง่ายๆ ในพระธรรมปัญญาจารย์ที่กล่าวว่า “แล้วลมปราณก็กลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงประทานให้” ถ้า “ลมปราณ” และ “จิตวิญญาณ” มีความหมายเหมือนกัน สูตรของการสร้างก็จะเขียนได้ดังนี้
ผงคลีดิน + ลมปราณ (จิตวิญญาณ) = มนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่
▼มนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ (วิญญาณ)
ดังที่เราได้เห็นแล้ว คำว่า “มนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่” ในปฐมกาล 2:7 ได้ให้ความหมายว่าหมายถึง “วิญญาณที่เป็นอยู่” คำว่า “วิญญาณ” ในพระคัมภีร์หมายถึง สภาพความเป็นตัวตนจริงโดยรวมของคน หรือเหมือนกับสูตรที่เขียนไว้ว่า ผลคลีดิน + ลมปราณ (จิตวิญญาณ) = มนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ (วิญญาณ) เราจะเห็นได้ว่า วิญญาณนั้นก็คือผลรวมของอีกสองส่วน ถ้าเอาส่วนหนึ่งออกไปเสีย เช่น เอาลมปราณออกไป แล้วเราจะเหลืออะไร
ผงคลีดิน - ลมปราณ (จิตวิญญาณ) = ไม่มีวิญญาณที่เป็นอยู่
นี่คือสิ่งที่เที่ยงแท้ซึ่งพระคัมภีร์ได้สอนไว้ เมื่อลมปราณแห่งชีวิตได้ถูกนำออกไป การดำรงอยู่ของชีวิตก็สิ้นสุดลง “คำในภาษาฮีบรูและภาษากรีกที่เราแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ตัวตนและจิตวิญญาณพบอยู่ในพระคัมภีร์มากถึงประมาณ 1,700 ครั้ง ในจำนวน 1,700 ครั้งที่ปรากฏนั้น ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่รากศัพท์ของคำว่า ตัวตนและจิตวิญญาณไม่ว่าคำใดคำหนึ่งบอกว่า เป็นอมตะ ไม่ตาย ไม่สามารถทำลายได้ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นนิรันดร์ หรือ ได้รับความเป็นอมตะ และคนที่ตายแล้วก็ไม่สามารถรู้สึกตัวปรากฏกายที่แยกจากร่างออกไปได้”
(จากหนังสือ God Speaks to Modern Man. Arthur G. Lickey, Washington, D.C.: Review and Herald Publishing Assn., 1952, p. 489)
พระคัมภีร์ได้อธิบายเรื่องความตายไว้ในความหมายที่ต่างออกไป แทนการบอกว่าจิตวิญญาณหรือ วิญญาณยังคงอยู่ต่อไปภายหลังจากตาย พระคัมภีร์อธิบายไว้ว่าอย่างไร ปัญญาจารย์ 9:5, 6, 10
...............................................................................................................................................
สดุดี 146:4
...............................................................................................................................................
▼ความตาย เหมือนการนอนหลับ
พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าคนที่ตายไปแล้วไม่รู้อะไร เปรียบเทียบความตายว่าเหมือนการนอนหลับที่ไม่รู้สึกตัวมากกว่า 50 พระเยซูทรงใช้การเปรียบเทียบดังกล่าวนี้ใน ยอห์น 11:1-45 พระองค์ทรงตรัสถึงลาซาลัสอย่างไร ยอห์น 11:11-14 ……………………………………………………………………………………………
พระเยซูทรงเรียกลาซารัสจากอุโมงค์ฝังศพ และพระองค์จะทรงเรียกบรรดาผู้ชอบธรรมจากอุโมงค์ฝังศพอย่างเดียวกัน เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร 1 โครินธ์ 15:22-23
…………………………………………………………………………………………………
▼ ทำไมคนเราจึงตาย
· เพราะอาดัมและเอวาได้ทำบาป (ปฐมกาล 3:1-6)
· ความบาปคือแยกตัวออกจากพระเจ้า (อิสยาห์ 59:2)
· พระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นอมตะ (1 ทิโมธี 1:17) “อมตะ” หมายถึง ไม่ตาย ไม่มีที่สิ้นสุด พ้นจากหนี้กรรมที่ต้องตาย
· มนุษย์ต้องตายเพราะความบาปทำให้เราถูกตัดขาดจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตนิรันดร์
ดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าความตายเหมือนกับการนอนหลับไม่รู้สึกตัว หากเป็นดังนี้แล้วความคิดที่ว่าหลังความตายชีวิตยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ไหน? ปฐมกาล 3:4
...............................................................................................................................................
พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่าอย่างไร ปฐมกาล 2:16, 17
...............................................................................................................................................
พระเจ้าทรงตรัสว่า “เจ้าจะต้องตายแน่” ซาตานพูดตรงกันข้ามว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่” จากรากเหง้าการโกหกของซาตานในครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดความคิดผิดๆ เกี่ยวกับความตายตามมาอีกมากมาย “จิตวิญญาณของท่านยังอยู่ต่อไป” “วิญญาณของท่านไปยังสรวงสวรรค์” “ท่านจะเวียนว่ายตายเกิด” “ท่านจะไปยังโลกของวิญญาณ” นี่คือความเข้าใจที่มีรากฐานมาจากคำโกหกที่ว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่” คนในสมัยปัจจุบันพยายามทุกช่องทางเพื่อจะติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วคนเหล่านี้ยังยึดถือตามการโกหกครั้งแรกของซาตาน
พระเจ้าตรัสถึงคนที่พยายามติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วอย่างไร อิสยาห์ 8:19-20
…………………………………………………………………………………………………
พระเจ้าทรงต้องการที่จะปกป้องเราจากการผลักดันของสิ่งชั่วร้าย การที่ซาตานปลอมตัวเป็นใครบางคนที่ตายไปแล้วและยังสามารถติดต่อสื่อสารได้นั้นเป็นการล่อลวงที่เลวร้าย พระเจ้าไม่ต้องการให้เรารับฟังข่าวสารของซาตาน ดังนั้นพระองค์จึงทรงบอกอย่างง่าย ๆ ว่าคนตายแล้วไม่สามารถพูดได้ “คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย”
ถึงกระนั้นพระเจ้าทรงเตรียมหนทางให้เราหลุดพ้นจากความตาย หนทางนี้คืออะไร ยอห์น 11:25
…………………………………………………………………………………………………
พระเยซูทรงเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากความตาย การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง ว่าท่านสามารถมีชีวิตต่อไปได้ หากท่านยอมรับให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน
▼ ถามตัวท่านเอง
ข้าพเจ้ายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นผู้ประทานชีวิตชั่วนิรันดร์ให้แก่ข้าพเจ้าแล้วหรือยัง?
...................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
............................................................................