ข้อที่ 3. คริสตจักรของคริสตชนขัดแย้งกับซาตาน

ก่อนที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงก่อตั้งคริสตจักรของคริสตชน (ใช้ผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์) การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระคริสต์ทำให้คริสตจักรมีอำนาจเอาชนะซาตานได้

“พวกเขา [คริสตจักรของคริสตชน] ชนะพญามาร [ซาตาน] ด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย ” วิวรณ์ 12:11

บัดนี้พระคริสต์ทรงสามารถมอบฤทธิ์อำนาจ อันเป็นผลแห่งชัยชนะของพระองค์แก่คริสตจักร พระเยซูทรงชนะเหนือซาตานบนไม้กางเขนอย่างเด็ดขาดและขณะนี้พระเยซูยังคงมีชนะต่อไปโดยคริสตจักรพระองค์ ลักษณะสามประการที่ทำให้คริสตจักรมีชัยชนะตลอดหลายคริสตศตวรรษที่ผ่านมาคือ

(1) “พวกเขาชนะพญามาร [ซาตาน] ด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก” พระเยซูทรงถูกรับไปที่พระที่นั่งของพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงสามารถทำให้พระโลหิตของพระองค์ชำระชีวิตของบรรดาผู้ติดตามพระองค์ พระองค์สามารถลบบันทึกความบาปและช่วยเราให้รอดจากบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ที่ไหลออกมา (1 ยอห์น 1:7) และทรงประทานฤทธิ์อำนาจแก่เราในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่เข้มแข็งทุกวัน

(2) “พวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย” “พระโลหิตของพระเมษโปดก” ทำให้เขาทั้งหลายเต็มใจตายเพื่อเห็นแก่ราชกิจพระคริสต์ พวกเขาจึงไม่ “กลัวความตาย” พระเจ้าทรงได้รับการทรมานอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นคริสตชนผู้เสียสละเหล่านี้ก็พร้อมยินดีทนทุกข์และตาย แม้กระทั่งเด็กก็ยังรู้จักเสียสละและยอมตายเหมือนกัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณแม่คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งถูกโยนเป็นเหยื่อให้สิงโตในสนามกีฬาในกรุงโรม สาเหตุเพราะความจงรักภักดีของเธอที่มีต่อพระคริสต์ เธอไม่ยอมถอนคำพูดว่าเธอไม่ใช่คริสเตียน ลูกสาววัยรุ่นของเธอเห็นภาพที่โหดร้ายนั้น แต่แทนที่เธอจะกลัวแล้วหันหลังกลับ เปล่าเลย ในใจเธอรู้สึกถึงความเสียสละอันใหญ่หลวง ขณะที่สิงโตเข้าจู่โจมแม่ของเธอ เธอยืนขึ้นและร้องว่า “ฉันก็เป็นคริสเตียนด้วยเหมือนกัน” เจ้าหน้าที่แห่งกรุงโรมจึงจับเธอตรงนั้นและโยนเธอให้สัตว์ป่าที่หิวกระหายเหล่านั้นกินด้วยเช่นกัน

(3) “เขาทั้งหลายชนะ [ซาตาน] .....ด้วยคำพยานของพวกเขาเอง” ไม่ใช่คำพูดของเขา แต่เป็นคำพูดการเป็นพยาน คือพยานในการดำเนินชีวิตของพวกเขา เป็นพยานให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูและข่าวประเสริฐของพระองค์ ในยุคมืดมนที่สุดของคริสตชน กองทัพธรรมของคริสตชน ผู้นำยุคแรกสมัยหลังยุคอัครสาวกจนถึงสมัยนักปฏิรูปคริสตจักรโปแตสแตนท์ (กลุ่มคริสตชนผู้ไม่ยอมรับคำสอนของคริสตจักรแห่งโรม) ได้รับชัยชนะจากการทุ่มทำลายที่เลวร้ายที่สุดของมาร ด้วยวิธีง่ายๆ ตรงไปตรงมา ด้วยการเคลื่อนไหวเป็นพยานด้วยการดำเนินชีวิตของพวกเขา

วิวรณ์ 12:11 ให้เห็นภาพชัยชนะของคริสตจักรซึ่งเต็มไปด้วยผู้มีชัยชนะ ได้แก่ อัครสาวก ผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อ นักปฏิรูปและชาวคริสตชนผู้ซื่อสัตย์คนอื่นๆ คำพยานด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์และการมีชัยชนะของพวกเขาเสียดังงแผดก้องผ่านมานับหลายศตวรรษจนก่อให้โลกเกิดความเคลื่อนไหว

เพราะซาตานล้มเหลวในการทำลายพระบุตรของพระเจ้าเมื่อพระองค์ประทับอยู่บนโลก จึงหาหนทางที่จะทำลายคริสตจักรของพระคริสต์

“เมื่อพญานาคตัวนั้นเห็นว่ามันถูกโยนลงไปที่แผ่นดินโลกแล้ว มันก็ไล่ตามหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น แต่พระเจ้าประทานปีกของนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงคนนั้นเพื่อว่านางจะบินเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้พ้นหน้างูตัวนั้น ไปยังสถานที่ของนางที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งวาระ สองวาระ และครึ่งวาระ งูตัวนั้นก็พ่นน้ำออกจากปากเหมือนอย่างแม่น้ำไหลตามหญิงคนนั้น เพื่อจะทำให้นางถูกน้ำซัดไป แต่แผ่นดินช่วยหญิงคนนั้นไว้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้วกลืนน้ำที่พญานาคพ่นออกจากปาก” วิวรณ์ 12:13-16

ดังคำพยากรณ์ที่กล่าวว่า ในยุคมืดของคริสเตียน ซาตาน “พ่นน้ำ” แห่งการกดขี่ข่มเหงออก “จากปาก” คริสตจักร “ถูกน้ำซัดไป” ซาตานต้องการทำลายอำนาจการทรงนำของพระคริสต์โดยการทำลายล้างคริสตจักร ด้วยกลอุบายชั่วร้ายที่ซาตานจะคิดได้ พญานาคคือซาตานนั่นเอง แต่อย่าลืมว่าซาตานใช้สถาบันต่าง ๆ ของมนุษย์ให้มีบทบาทเหมือนพญานาคโจมตีประชากรของพระเจ้า มันใช้กษัตริย์เฮโรดแห่งโรมหาทางทำลายและประหารพระกุมารเยซูทันทีหลังจากพระองค์ทรงประสูติ มันใช้ความอิจฉาพระคริสต์ของพวกผู้นำศาสนารบกวนพระผู้ช่วยให้รอด จนในที่สุดซาตานมั่นใจที่สามารถประหารพระองค์บนไม้กางเขนสำเร็จ แต่ชัยชนะของซาตานกลับกลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระคริสต์ไปเสีย

ซาตานโกรธแค้นที่พ่ายแพ้ต่อไม้กางเขน มันจึงเบนความโกรธไปที่คริสตจักรของพระเยซู ในช่วงเวลาหลายศตวรรษหลังจากการตรึงพระคริสต์บนไม้กางเขน มีหลายพันคนเสียชีวิตในสนามกีฬาในกรุงโรม ที่จัตุรัสของเมืองหลายแห่ง ในคุกใต้ดิน และที่หลบซ่อนกลางทะเลทราย

ตอนแรกอำนาจการเมืองทางโลกริเริ่มการกดขี่ข่มเหง แต่หลังจากการตายของอัครสาวกทั้งหลาย การกดขี่ข่มเหงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นคริสตจักรข่มเหงคริสตชนด้วยกันเอง ในช่วงศตวรรษที่สอง สามถึงศตวรรษที่สี่ เริ่มมีการขยายคำสอนที่พระคริสต์และอัครสาวกสั่งสอนไว้ ผู้นำที่ละทิ้งความเชื่อบางคนริเริ่มให้มีการกดขี่ข่มเหงคริสตชนที่ยืนยันรักษาความเชื่อที่บริสุทธิ์ในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่

นักวิชาการหลายคนคาดว่า ผู้ที่สัตย์ซื่อต่อศาสนาต้องจบชีวิตลงถึงประมาณ 50 ล้านคน ในความพยายามของมารเพื่อทำลายคริสตจักรให้ราบคาบ มารจึงพ่น “น้ำ” แห่งการกดขี่ข่มเหง “เพื่อจะทำให้นาง (คริสตจักร) ถูกน้ำซัดไป” “แต่โลกช่วยนางไว้โดย......กลืนแม่น้ำ” แห่งการกดขี่ข่มเหงและคำสอนผิดนั้นเสีย

ในช่วงเกิดการข่มเหงในยุคกลาง คริสตจักรแท้จริงได้ถอนตัวออกจากการเป็นผู้นำนอกรอยและหลบหนีไปอยู่ใน “สถานที่สงบเงียบที่เตรียมไว้ [เพื่อนาง] โดยพระเจ้าทรงเลี้ยงดูนางอย่างปลอดภัยเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน” (วิวรณ์ 12:6) คำพยากรณ์นี้สำเร็จจริงระหว่าง 1,260 ปีของการข่มเหง เริ่มจาก ค.ศ. 538 ถึง ค.ศ. 1798 (คำพยากรณ์ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใช้สัญลักษณ์แทน หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี ดูพระธรรมเอเสเคียล 4:6)

ในช่วงยุคมืดหลายศตวรรษ คริสตชนที่สัตย์ซื่อตามคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้ลี้ภัยตามที่ต่าง ๆ เท่าที่จะหาได้เช่น ในหุบเขาวาลเดนเซียนทางทิศตะวันตกของอิตาลี และทางตะวันออกของฝรั่งเศส และในโบสถ์ของพวกเซล็ดของเกาะอังกฤษหลายแห่ง

<< หน้าก่อน หน้าถัดไป >>